เปิดตำนานความแรง TOYOTA GR SUPRA
10 Jul 2020เปิดตำนานความแรง TOYOTA GR SUPHA (ตั้งแต่ ค.ศ. 1978 – 2020)
การกลับมาอีกครั้งของความเร็วระดับตำนานToyota GR Supra 2020 Editionจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.1 วินาที สำหรับเจนเนอร์เรชั่นล่าสุดสปอร์ตคาร์เจน 5 (A90) ด้วยการนำต้นแบบ Toyota FT1 Sport Coupe Concept ไฟหน้า LED projectors ดุดัน พร้อมชุดกันชนหน้าแบบสปอร์ตที่มาพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ถึง 3 ช่องด้วยกัน ด้านข้างแกร่งฉกาจด้วยปราดเปรียวด้วยดีไซน์หลังคาเล่นระดับ พร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 19 นิ้ว พร้อมยาง 255/35 ZR19สำหรับล้อหน้าและ275/35 ZR19สำหรับล้อหลัง ไฟท้าย LEDสไตล์ F1-style เล็กเรียวแต่มองเห็นชัดเจน พร้อมสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ รับกับกันชนหลังสปอร์ต พร้อมลิ้นเสริมกันชนหลัง Diffuserลงตัวด้วยท่อไอเสียกลมคู่ซ้ายขวา ตอบโจทย์ความแรงเต็มพิกัด
โดยมีความยาว 4,380มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,290 มม. และมีฐานล้อกว้าง 2,470 มม. น้ำหนักรวม 1,496กก. (ซึ่งถ้าเทียบกับตัวเดิมคือรหัส A80จะอยู่ที่ 4,514 x 1,811 x 1,275 มม. และฐานล้อกว้าง 2,550 มม. )แต่ก่อนที่เราจะไปลงลึกถึงรายละเอียดของนวัตกรรมที่บรมเพาะนานถึง 17 ปี เรามาย้อนรอยตำนานกันสักนิดดีกว่าว่าต้นกำเนิดความแรงของประเทศญี่ปุ่นมีความเป็นมายังไงบ้าง
Toyota Supra Generation 1 (1978–1981)
ต้นกำเนิดรถสปอร์ตอย่าง Toyota Supra ที่ใช้พื้นฐานรถมาจากToyota Celica liftback จึงมีการเรียกในช่วงแรกว่า Toyota Celica XX (Double-X) ในประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศอื่นเรียกว่า Toyota Celica Supra เริ่มต้นงานผลิตในช่วงเดือนเมษายนในประเทศญี่ปุ่น ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 6 สูบเรียง12 วาล์ว 123 แรงม้า กับเครื่องยนต์เบนซิน 2.6 ลิตร 6 สูบเรียง12 วาล์ว 110 แรงม้า ทั้ง 21 เครื่องยนต์มีการติดตั้งระบบหัวฉีดไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นระบบใหม่ในช่วงนั้น ส่วนการขับเคลื่อนนั้น มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด,และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมเสริมด้วยระบบเกียร์ Overdrive ทั้งในเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ ส่วนภายในนั้นก็ทันสมัยด้วยกระจกไฟฟ้า, ล็อกประตูไฟฟ้า แถมยังมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control อีกด้วย แต่คนญี่ปุ่นนั้น นิยมใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรมากกว่า เนื่องมาจากสาเหตุของการจ่ายภาษี ที่เครื่องยนต์ใหญ่ จะเสียค่าภาษีที่มากกว่า และในปี 1979 ก็ได้เริ่มทำการส่งออก Toyota Supra ไปยังนอกญี่ปุ่น โดยเป็นการส่งในรุ่นที่เป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรไปยังประเทศต่าง ๆ
มาถึงในปี 1980 Toyota Supra ได้มีการเพิ่มเครื่องยนต์ไปอีกขนาด ก็คือ 2.8 ลิตร 116 แรงม้า พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติเวอร์ชั่นใหม่ ที่สามารถทำอัตราเร่ง 0-97 ได้ใน 1.024 วินาที และสามารถวิ่ง 1/4 ไมล์ได้ใน 17.5 วินาที ที่ความเร็ว 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกแบบ Sports Performance Package ที่ปรับปรุงช่วงล่างใหม่ให้เป็นแบบสปอร์ต,เพิ่มยางที่เป็นตัวอักษรสีขาว, สปอยเลอร์หน้าและหลัง และบันเทิงใจในยามขับขี่ด้วยวิทยุเทผแบบ 8 แทรกอีกด้วย
Toyota Supra Generation 2 (1981–1986)
ช่วงกลางปี 1981 ได้มีการปรับโฉม Toyota Supraขึ้นมาใหม่ โดยเป็นโฉมที่ไฟหน้าเป็นแบบ Pop-up เป็นครั้งแรก ส่วนเครื่องยนต์ยังคงใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียงเช่นเดิม เพิ่มความยาวของตัวรถให้มากกว่าโฉมแรกเล็กน้อย ในญี่ปุ่นยังคงเรียกว่า Toyota Celica XX เช่นเคย ส่วนในตลาดอเมริกาเหนือก็ยังเรียกว่า Toyota Celica Supra แต่ในโฉมนี้จะมีให้เลือกใช้งานใน 2 แบบ ก็คือแบบ Luxury Type (L-type) ที่เน้นความหรูหราสะดวกสบาย และ Performance Type (P-type) ที่เน้นความสปอร์ตอย่างชัดเจน โดยมีความแตกต่างหลายจุด ทั้งซุ้มล้อไฟเบอร์ในรุ่น P-Type, เบาะหนังในรุ่นL-type, เบาะปรับได้ 8 ทิศทางในรุ่น P-Type,หน้าปัดวัดระยะทางแบบดิจิตอลใน L-type เป็นต้น โดยเครื่องยนต์ในตลาดนอกญี่ปุ่นนั้น เน้นไปที่เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 12 วาล์ว 6 สูบเรียง ที่ขยับกำลังจากตัวเดิมเพิ่มขึ้นเป็น 145 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-97 ได้ใน 9.8 วินาที และสามารถวิ่ง 1/4 ไมล์ได้ใน 17.2 วินาที ที่ความเร็ว 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนมาถึงปี 1983 ที่มีการเพิ่มเครื่องยนต์เบนซิน 2.8 ลิตร ที่มีพลังเพิ่มขึ้นเป็น 150 แรงม้า มาเพิ่มเป็นตัวเลือกให้อีกรุ่น และเสริมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดรุ่นใหม่ ที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถเลือกการปรับเปลี่ยนรเกียร์ได้ทั้งในโหมด Normal หรือPower หรือที่เรียกกันว่า Electronically Controlled Transmission (ECT) ซึ่งถือเป้นรุ่นแรกในตลาดที่ใช้เกียร์ระบบนี้อีกด้วย
ในปี 1984 ก็ได้มีการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ให้กลายเป็น160 แรงม้า ก่อนที่จะขยับมาเป็น 161 แรงม้าในปี1985 ที่เสริมด้วยระบบ Throttle position sensor (TPS)ที่ทำงานเหมือนระบบ EGR และ knock sensor ในปัจจุบัน ทำให้รถสปอร์ตคันนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-97ได้ใน 8.4 วินาที และสามารถวิ่ง 1/4 ไมล์ได้ใน 16.1 วินาที ที่ความเร็ว 137 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Toyota Supra Generation 3 (1986–1993)
โฉมที่3 นี้ ทางโตโยต้าได้มีการแบ่งรถสปอร์ตออกเป็น2 รุ่นอย่างชัดเจน โดยจะเป็นโฉมแรกที่มีการใช้ชื่อว่า Toyota Supra อย่างเป็นทางการ ทั้งในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ โดยแยกให้ Toyota Celica เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วน Toyota Supra ยังคงเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังเช่นเดิม ส่วนเครื่องยนต์มีการเพิ่มขนาดให้กลายเป็น 3.0 ลิตรแบบ N/A 200 แรงม้า ก่อนที่จะเพิ่มเครื่องยนต์แบบ Turbo ผลิตกำลังได้ 230 แรงม้า มาในปี 1987 แต่ในตลาดญี่ปุ่นนั้น ยังคงมีเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากข้อจำกัดของภาษีตามขนาดของเครื่องยนต์นั่นเอง พร้อมเพิ่มระบบความปลอดภัยให้มากขึ้น ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS แบบ 3-channel, ช่วงล่างปรับความนุ่มนวลได้ Toyota Electronic Modulated Suspension (TEMS)
Toyota Supra Generation 4 (1993–2002)
สำหรับToyota Supra ในโฉมที่ 4 นั้น ได้มีการวางแผนกันตั้งแต่ปี 1989 ผ่านการออกแบบของหลากหลายทีมงาน จนมาถึงเวอร์ชั่นออกจำหน่ายจริงในช่วงเดือนเมษายน 1993 ให้เห็นภาพลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมพอสมควร ที่เห็นได้ชัดก็คือไฟหน้า ได้หยุดการใช้งานในแบบ Pop-up ให้กลับมาเป็นแบบปกติ ถูกปรับความยาวของตัวรถให้ลดลงมากถึง 340 มม. เมื่อเปรียบเทียบกับตัว Luxury เพื่อให้ภาพลักษณ์ออกมาเป็นทรงสปอร์ตอย่างเต็มตัว ถูกปรับการออกแบบทั้งหมดของตัวรถให้ดูโค้งมนมากขึ้น ส่วนเครื่องยนต์ในโฉมนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องยนต์ตัวแรง 2J ในตำนาน ทั้ง 2JZ-GE 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง 220 แรงม้า และเครื่องยนต์ 2JZ-GTE 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง เทอร์โบคู่ 276 แรงม้า
สำหรับเวอร์ชั่นในญี่ปุ่น ส่วนเวอร์ชั่นส่งออกต่างประเทศ มีการใช้ลูกเทอร์โบเวอร์ชั่นที่แตกต่างกับในญี่ปุ่น ทำให้เครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 320แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ระบบใหม่ Getrag 6 สปีด แต่ก็ยังคงมีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ4 สปีดให้เลือกใช้งานเหมือนเคย และพิเศษสุดสำหรับตลาดในสหรัฐฯ Toyota Supra ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของโตโยต้า ที่มาพร้อมถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยในโฉมนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-97ได้ใน 4.6 วินาที และสามารถวิ่ง 1/4 ไมล์ได้ใน 13.1 วินาที ที่ความเร็ว 175 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น จากการทดสอบ สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ตัวรถถูกล็อกความเร็วเอาไว้เพียงแค่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงในประเทศญี่ปุ่น และรุ่นส่งออกล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในเวอร์ชั่นจำหน่ายในยุโรป จะเพิ่มช่องรับลมที่ฝากระโปรงเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
Toyota Supra Generation 5 (2019 - ปัจจุบัน)
จากแรงบันดาลใจอันยาวนานกว่า50 ปี ได้ถูกถ่ายทอดประสบการณ์อันเป็นที่สุดแห่งการผสมผสานสุดยอดสมรรถนะในการขับขี่ และเอกลักษณ์สไตล์รถสปอร์ตได้อย่างลงตัว ผ่านยนตรกรรม Toyota GR Supra ที่ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด (Design Concept) “Condensed Extreme” ที่มุ่งเน้นการจัดสรรองค์ประกอบและมิติต่างๆ ของตัวรถให้ส่งเสริมสมรรถนะอันโดดเด่นของรถได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ “Condensed”สื่อถึงที่สุดแห่งความสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่างๆ ทั้งความยาวของตัวรถ ระยะฐานล้อ ไปจนถึงการวางตำแหน่งของล้อและยาง ส่วน “Extreme”นั้นสื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างห้องโดยสาร (ตำแหน่งผู้ขับ) และระยะห่างระหว่างล้อที่ถูกขยายให้กว้างเมื่อเทียบกับ Belt line แนวสันด้านข้างตัวถังที่ถูกกดให้ต่ำและโป่งนูนออกมามากเป็นพิเศษ ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้ Toyota GR Supra มีขนาดห้องโดยสารที่ลงตัวกับตำแหน่งตัวรถที่กดต่ำและหนักแน่น ส่งผลให้รถมีการบังคับควบคุมและมีเสถียรภาพในระดับสูง โดดเด่นกว่ารถสปอร์ตทั่วไป
โดยปีที่แล้วในเจเนอเรชั่นที่5 ถือเป็นรุ่นที่ได้รับการพัฒนาและแนะนำสู่ตลาดอย่างเป็นทางการโดยToyota GAZOO Racing แบรนด์รถแข่งมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกของโตโยต้า ที่ดำเนินงานด้วยหลักปรัชญาที่ว่า “การทดสอบขีดจำกัดของสมรรถนะการขับขี่ขั้นสูงสุดของรถยนต์ จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของรถยนต์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราไม่สามารถเห็นได้ในการขับขี่แบบปกติในชีวิตประจำวัน” โดยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเป้าหมายที่ท้าทายในการพัฒนายนตรกรรม “ที่ดียิ่งกว่า” (Ever-Better Cars) ของโตโยต้า
ภายใน Toyota ออกแบบให้มีจิตวิญญาณและตัวตนทีชัดเจนตั้งแต่ มาตรวัดเรืองแสงดิจิตอลพร้อมจอ MID ขนาด 8.8 นิ้ว คู่กับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสปอร์ต 3 ก้าน จอสัมผัสขนาดใหญ่เลือกได้ทั้งขนาด 6.5 นิ้ว กับ 8.8 นิ้ว พร้อมลำโพง 12 จุดจาก JBL และจอแสดงเหนือคอนโซลหน้า Head-Up Display เบาะนั่งสปอร์ตหนังแท้โทนดำ-แดง รวมถึงชุดผิวสัมผัส ดำ-แดง คอนโซลเกียร์ แผงประตู และพวงมาลัย ล้วนสร้างความร้อนแรงขึ้นอีกระดับ และคันเกียร์กับชุดควบคุมการทำงานของระบบบันเทิงล้วนยกชุด
ด้วยการเป็นรถยนต์ที่กระจายน้ำหนัก 50:50 เพื่อความสมดุลของตัวรถและเพิ่มความเร้าใจมากขึ้น ขุมพลังจึงหยิบยืมมาจาก BMW ด้วยเช่นกันกับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร ให้กำลังมากสุด340 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600- 4,500 รอบ/นาที นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ ที่เลือกได้ถึง 2 ความแรงตั้งแต่ แรงใหญ่ Hi-Power 258 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,550- 4,400 รอบ/นาทีและแรงพอดี Mid-Power 197 แรงม้าที่4,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 320 นิวตันเมตรที่1,450- 4,200 รอบ/นาที
โดยทุกขนาดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง ช่วงล่างเด่นด้วยด้านหน้าแบบ double joint Spring Strut และด้านหลังแบบMulti Link ทางพร้อมระบบช่วงล่างปรับได้ Adaptive Variable Suspension system Toyota Supra เจนใหม่พร้อมที่จะขายทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา แล้ว
Toyota GR Supra 2020 Edition มี 8สี
· สีน้ำเงิน Horizon Blue…Special Edition (ใหม่)
· สีเหลือง Lightning Yellow
· สีแดง Prominence Red
· สีเทา Ice Gray Metallic
· สีขาว White Metallic
· สีเงิน Silver Metallic
· สีดำ Black Metallic
· สีเทาด้าน Matte Storm Gray Metallic
โดย Toyota GR Supra 2020 Edition มีราคาเริ่มต้นที่ เริ่มต้น 5,199,000 บาท
สำหรับผู้ที่อยากพิสูจน์ความแรงด้วยตัวเอง สามารถติดต่อทดลองขับได้ที่ โตโยต้า บัสส์ หรือโทร 1268 ครับ