5 เรื่องเกี่ยวกับรถที่ควรตรวจเช็คทุกวัน
26 Jan 20191. ลมยาง
การเช็คลมยาง เนื่องจากรถยนต์ที่เราขับนั้นลมยางจะค่อยๆ ลดลงไป ประมาณเดือนละ 2-3 ปอนด์ ดังนั้นแล้วเราควรจะเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง ไม่เช่นนั้นลมยางของเราอาจจะอ่อนเกินไปโดยไม่รู้ตัว การตรวจเช็คความดันลมยางของรถคุณให้อยู่ระดับเหมาะสมกับสภาพการใช้งาน จะทำให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้การขับขี่นุ่มนวล และเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงไปอีกทางด้วย
2. ระบบไฟ
การตรวจเช็คระบบไฟฟ้ารถยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง ไฟสัญญาณ ทดลอง เริ่มจาก ไฟหรี่ ไฟสูง ไฟเลี้ยงซ้าย ขวา ไฟฉุกเฉิน ไฟห้องโดยสาร ไฟส่องแผนที่ ไฟหน้าปัด(ต้องติดครบ) ไฟตามปุ่มต่างๆ ต้องลองเอามือบังดูครับ ไฟเบรก ไฟถอยหลัง เน้นว่าต้องติดทุกดวง และต้องติดถูกที่ ไม่ใช่ เปิดไฟเลี้ยวขวาไปติดด้านซ้าย อันนี้อันตราย เรื่องไฟไม่ยาก ต้องลองสังเกตได้ง่ายๆ
อุปกรณ์ไฟฟ้า มี กระจกไฟฟ้า ลองกดขึ้นลงให้ครบทุกบาน ลองดูว่ามีอาการหน่วงๆ หรือเปล่า (อาการเหมือนไม่ค่อยอยากจะทำงาน) เซ็นทรัลล๊อค ต้องติดครบทุกบาน และต้องสามารถ ควบคุมจากประตูคนขับได้ด้วย ประตูหรือกระโปรงหลัง(บางคัน) มันเป็นระบบไฟฟ้า อย่าลืมเปิดดู วิทยุ ดังหรือไม่ แอร์ทำงานเย็นดีหรือเปล่า มีกลิ่นหรือไม่ เบาะปรับไฟฟ้า ทำงานได้ทุกจุดหรือเปล่า พวกสัญญาเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย และอื่นๆ เน้นว่าถ้าไม่อยากเอามาซ่อม ก็เช็คให้ดี ต้องทำงานได้ครบ หรือหากทำงานได้บ้างไม่ได้บ้างควรปรึกษาช่าง สำหรับระบบไฟ เน้นว่ารถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ก็มีระบบไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน บางคันอาจจะมีกล้องหน้า กล้องหลัง มีจอมอนิเตอร์ 3,4 จอ แต่งเครื่องเสียงจัดเต็ม หรือมีไฟเรียกแมงดารอบคันรถ เป็นต้น ยังไงก็ค่อยเปิดและสังเกตไปทีละจุด ไม่ร้องรีบร้อน ยิ่งรีบ ยิ่งพลาด
3. ตรวจดูระบบระบายความร้อน
ตรวจระดับน้ำในถังพักน้ำทุกครั้งก่อนสตาร์ตเครื่องยนต์ รถที่ไม่มีถังพักน้ำก็เปิดฝาหม้อน้ำตอนเช้าๆ ก่อนสตาร์ตเครื่องเพื่อดูว่ามีน้ำอยู่ในระดับปกติของหม้อน้ำหรือไม่ และเติมแต่น้ำสะอาดลงไปในหม้อน้ำเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้หม้อน้ำหรือทางเดินของหลอดรังผึ้งหม้อน้ำเกิดการอุดตัน ถ้าเป็นไปได้ น้ำที่ใช้ดื่มหรือน้ำประปา ตรวจดูรอยรั่วตามที่จุดต่างๆ อย่างเช่น ท่อยางหม้อน้ำ ครีบรังผึ้ง ปั๊มน้ำ ฯลฯ
4. ตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง
มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่ แล้วเสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้งเพื่อตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง และสุดท้ายดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” อยู่เสมอ
*ปริมาณน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ แนะนำให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำ ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรืออย่างน้อยเดือนละ1ครั้ง ที่มาhttp://www.acautoservice.co.th/
6. ตรวจแบตเตอร์รี่รถยนต์
ตรวจสอบสถาพแบตเตอรี่รถยนต์อย่างสม่ำเสมอ สังเกตว่ามีรอยแตกร้าวหรือไม่
ดูแลรักษาแบตรถยนต์ ไม่ให้มีคราบขี้เกลือเกิดขึ้น หากมีคราบขี้เกลือ เพียงแค่นำผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดคราบก็จะออกโดยง่าย และ ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นสำหรับแบตน้ำทุก ๆ สัปดาห์ตรวจเช็คระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบชาร์จต่ำหรือสูงเกินไปไหมหากอากาศหนาวหรือมีอุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการกระจาย ของน้ำกรด และน้ำกลั่น จะต่ำลง เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการดูแลรักษาแบตรถยนต์หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมาก ๆ ในขณะที่อากาศเย็น ดูแลรักษาแบตรถด้วยการเติมน้ำกลั่นให้พอดีในระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมสูงเกินหรือน้อยเกินไป เพื่อป้องกันอาการขี้เกลือขึ้นไว และเป็นสาเหตุให้แบตสกปรก การดูแลรักษาแบตรถยนต์นั้น ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่จะนำมาติดตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับกับกระแสไฟ ของวงจรไฟฟ้ารถยนต์
5. เบรก
ระบบเบรกเป็นส่วนสำคัญมากควรให้ช่างที่มีความรู้ตรวจเช็ค เพราะมันมีความสำคัญมากเป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถควรใส่ใจในระบบเบรกเพื่อความปลอดภัย สังเกตุง่ายๆก่อนใช้รถ ถ้ามีอาการแปลกๆขนาดที่ตรวจเช็คให้เอ๊ะใจไว้ก่อนเพราะอย่างที่บอกว่าเบรคมีความสำคัญอย่างมากอย่าชะล่าใจไป
ที่มา https://auto.mthai.com/news/tips/41374.html