6 สิ่งที่ผู้หญิงควรรู้ และต้องเช็กรถเป็นประจำ(ฉบับง่าย)
12 Sep 20206 สิ่งที่ผู้หญิงควรรู้ และต้องเช็กรถเป็นประจำ(ฉบับง่าย)
ผู้หญิงในสมัยนี้ นอกจากจะเก่งเรื่องการทำงานแล้ว ยังต้องสตรองในการใช้ชีวิตด้วย ผู้หญิงหลายคนขับรถไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง ดูเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ดูแลตัวเองได้อย่างดี แม้กระทั่งเรื่องรถยนต์ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไร แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่ผู้หญิงดูแลรถได้เองในเบื้องต้น วันนี้เราจึงขอแชร์เทคนิคดูแลรถง่ายๆ ในแบบฉบับผู้หญิงขับรถมาให้สาวๆ ได้อ่านกัน
1.หมั่นตรวจเช็กน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่อง เป็นสิ่งที่สำคัญต่อเครื่องยนต์ โดยเราควรหมั่นเช็กระดับน้ำมันเครื่องว่าอยู่ในระดับปกติไหม ด้วยการดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาดู ถ้าน้ำมันเครื่องอยู่ระดับ F และ L แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ แต่ถ้าปล่อยให้น้ำมันเครื่องอยู่ต่ำว่าตัว L หรือ ต่ำกว่าขีดล่าง ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหากับเครื่องยนต์ได้ นอกจากนี้ควรหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้พร้อมใช้งาน
2. อย่าลืมดูน้ำมันเบรกและเบรก
นอกจากนี้เราควรหมั่นเช็กน้ำมันเบรกว่า และเบรกอยู่ในระดับมาตรฐานหรือ เปล่าโดยเปิดฝากระโปรงหน้ารถและดูที่กระปุกน้ำมันเบรก ว่าไม่ควรต่ำกว่าระดับ Min และไม่ควรจะสูงเกิน Max หากระดับน้ำมันเบรกอยู่ต่ำกว่า Min แสดงว่าผ้าเบรกอาจมีปัญหา หรืออาจมีการรั่วซึมได้ ควรเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียด
3. หมั่นตรวจระดับน้ำยาหล่อเย็นหรือน้ำในหม้อน้ำ
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้รถยนต์เกิดอาการโอเวอร์ฮีท หรือเครื่องยนต์เกิดความร้อนจนเกินไป เราจึงควรหมั่นตรวจระดับน้ำยาหล่อเย็นหรือ น้ำในหม้อน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่ตลอด หากพบว่าน้ำมีระดับต่ำก็ควรเติมด้วยน้ำกลั่น หรือผสมน้ำยาหล่อเย็น การเติมน้ำเปล่าลงไปในหม้อน้ำ ควรเติมเฉพาะกรณีฉุกเฉินจริง ๆ เท่านั้น เช่น เกิดความร้อนสูงระหว่างการเดินทาง จำเป็นต้องใช้น้ำเปล่าช่วยลดความร้อนเครื่องยนต์ในตอนนั้น ไม่ควรใช้น้ำประปาบ่อย ๆ เพราะอาจเกิดตะกรันได้
4. เช็กสภาพแบตเตอรี่
รู้ไหมว่าเราสามารถตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่รถยนต์ได้ด้วยการดูตาแมวแบตเตอรี่ หากมีสีเขียวหรือ สีน้ำเงินแสดงว่าไฟเต็ม หากเป็นสีขาวหรือ สีใส แสดงว่าไฟอ่อน ควรชาร์จไฟเพิ่ม
แต่ถ้าเป็นสีแดงหรือ สีส้ม แสดงว่าน้ำกลั่นแห้ง ควรเติมน้ำกลั่น ดังนั้นจึงควรใช้งานแบตเตอรี่อย่างเหมาะสม ไม่เปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่หมด โดยเราควรมีเครื่องมือวัดโวลต์แบตเตอรี่
และเครื่องมือชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์สำรองไว้หรือ พกสายพ่วงแบตเตอรี่ไว้ก็จำเป็น เผื่อต้องขอพ่วงแบตกับรถคันอื่น หรือนำไปใช้ช่วยเหลือรถคันอื่น
5. วัดลมยางสม่ำเสมอ
หลังจากดูพวกของเหลวกันไปแล้ว เรื่องของลมยาง และยางรถยนต์ ก็เป็นสิ่งที่สาว ๆ ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะถ้าลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้รถกินน้ำมัน แถมยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกด้วย อย่างไรแล้วเราควรหมั่นเช็กลมยางอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยดูค่าแรงดันยางรถยนต์ได้ที่ป้ายข้างประตูคนขับ หากเป็นรถเก๋ง 4 จะอยู่ที่ประมาณ 30-32 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ซึ่งนอกจากจะหมั่นเช็กลมยางแล้วควรเช็กยางรถยนต์ด้วยว่ามีสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ หากใช้งานจนดอกยางเริ่มโล้น หรือใช้งานมาแล้ว 3 ปี หรือประมาณ 60,000 กิโลเมตร ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์แล้วล่ะ
6. อย่าลืมเปลี่ยนยางปัดน้ำฝน
ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ควรหมั่นเช็กสภาพยางปัดน้ำฝนว่าใช้งานได้ดีหรือไม่ หากยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ หรือยางเริ่มแข็ง ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อการปัดน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรเติมน้ำในกระบอกปัดน้ำฝนด้วย เผื่อต้องใช้ในการฉีดน้ำล้างกระจกเพื่อความสะอาดใส และทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดี
ขอขอบคุณข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์ จาก...
https://masii.co.th/blog/7เทคนิคดูแลรถยนต์